
"พิธา" โชว์วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งเป้าระดับโลก เริ่มจากท้องถิ่น
“พิธา” โชว์วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้ ไทยโตมาก แต่ยังรั้งกลางตารางอาเซียน เปิดเผยหลักคิด “ก้าวไกล” ตั้งเป้าไปสุดยอด จะต้องเริ่มต้นจากแคว้น ชู “น้ำประปาดื่มได้” เป็นตัวอย่างสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลในหัวข้อ “เทรนด์ใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล และ ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งใหม่เพื่อความยั่งยืนมั่นคง” ร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ 5 พรรค ในงานเสวนา “Next Step Thailand 2023 แนวทางแห่งอนาคต” ความตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในขณะนี้มีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15% ต่อปี
โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับได้ว่าเป็นอัตราที่ดีเมื่อเทียบกับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้งระบบ ที่จีดีพีคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ราวๆ 3% แต่กระนั้นถ้าเกิดเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนด้วยกัน จะพบว่าประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของอาเซียน ทั้งในด้านคาดการณ์การเติบโต และ จำนวนการลงทุน และ เมื่อหันมาดูด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล จะพบว่ารัฐบาลได้ให้งบประมาณด้านแผนงานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัลแค่ 980 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.03% ของงบประมาณทั้งหมด
ส่วนงบประมาณด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีอยู่โดยประมาณ 7.36 พันล้านบาท ส่วนมากกลับไปอยู่ที่กรมโยธาธิการ และผังเมืองของกระทรวงมหาดไทย ถึง 7.16 พันล้านบาท ซึ่งไม่ตอบโจทย์สำหรับเพื่อการสร้างยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยตรง
นายพิธา บอกว่า การก้าวไปสู่ เศรษฐกิจดิจิทัล ของเมืองไทย
จำเป็นที่จะต้องเป็นผลมาจากการอาศัยหน้าที่ของภาครัฐ ที่จำเป็นต้องเข้าไปปรับยุทธศาสตร์ กฎหมาย และโครงสร้างรากฐานด้านดิจิทัลที่ยังล้าหลัง ขัดขวางการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเข้าไปมีบทบาทผลักดันทั้งในด้านอุปทาน อาทิเช่น การเพิ่มงบประมาณให้ได้สัดส่วนกับความสำคัญ การลดขั้นตอนในระบบราชการ การผลักดันและส่งเสริมด้านงบประมาณ และการส่งเสริมบ่มเพาะเอกชนที่มีความสามารถ
ส่วนในด้านอุปสงค์ คือการที่รัฐเข้าไปเล่นบทบาทลูกค้ารายแรกๆให้สตาร์ทอัพเติบโตได้ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน และ ที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และ อุตสาหกรรมใหม่ๆซึ่งเป็นเหตุผลให้หลักคิดด้านหลักการเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคก้าวไกล มองว่าการกำหนดวัตถุประสงค์แม้ว่าจะจำเป็นต้องไปให้ถึงระดับโลก หรือระดับภูมิภาคอาเซียน แต่การปฏิบัติจริงที่เกิดขึ้นต้องมาจากรากฐานที่สำคัญที่สุด นั่นเป็นในระดับท้องถิ่นของประเทศ ที่ปัจจุบันยังเต็มไปด้วยวิกฤติคุณภาพชีวิตและปัญหาของพลเมือง
นายพิธา บอกว่า ขอยกตัวอย่างการทำน้ำประปากินได้ที่เทศบาลตำบลบางทีอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยคณะก้าวหน้า ซึ่งประสบความสำเร็จแล้วสำหรับการพัฒนาประสิทธิภาพของน้ำประปา และ กำลังเริ่มจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี IoT (internet of things) ที่จะมีผลให้กระบวนการผลิตน้ำไปจนถึงการจ่ายค่าน้ำประปาของประชาชนเข้าสู่ระบบดิจิทัลทั้งหมด
นี่คือตัวอย่างของการทำให้ปัญหาของพลเมืองกลายเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อการตอบสนองทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ คุณภาพชีวิตของ ราษฎรไปพร้อมกัน
“บางทีอาจสามารถ คือรูปธรรมของการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แก้ไขปัญหาของประเทศและของพลเมือง จากการจัดการกับปัญหาของอาจสามารถ ไปสู่การจัดการกับปัญหาของประชากรในภาคอีสาน
นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาของประชากรภาคอื่นๆ และของประชากรทั้งประเทศ และ ของอาเซียนต่อไป นี่คือโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแบบพรรคก้าวไกล คือกำหนดเป้าหมายให้ไปไกลถึงระดับนานาชาติ
แต่เริ่มการปฏิบัติจากระดับเขตแดน เปลี่ยนวิกฤติของเราให้เป็นช่องทางใหม่ๆซึ่งจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับผู้กระทำระจายอำนาจ การมีงบประมาณที่พอเพียงในระดับแคว้น และ ข้อบังคับที่เอื้อต่อการพัฒนาไปพร้อมๆกันด้วย” นายพิธา กล่าว…
“พิธา”ชี้กระจัดกระจายอำนาจเพิ่มงบแคว้น-ใช้เทคโนโลยีแก้แตกต่าง
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รายงานในงานเสวนาหัวข้อ NEXT STEP THAILAND 2023 แนวทางแห่งอนาคต จัดโดยเครือเนชั่น ตอนหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเทียบเทียบกับอาเซียนในลำดับ 6 แพ้หลายประเทศ เราเติบโตช้าที่สุด สะท้อนระบบนิเวศน์ที่มีปัญหา งบประมาณของเศรษฐกิจดิจิทัล 980 ล้านบาท เท่ากับ 0.03% ของงบประมาณทั้งผอง งบประมาณด้านสมาร์ท ซิตี้ 7 พันล้านบาท จำนวนมากงบกระจุกที่กรมโยธาธิการ และ ผังเมือง สะท้อนความไม่ใส่ใจของรัฐบาลปัจจุบันนี้
ซึ่งเศรษฐกิจดิจิทัลแบบก้าวไกล ต้องคิดไกลกว่าเมืองไทย อย่างน้อยก็ระดับอาเซียน โดยการปฏิบัติอยู่ที่ท้องถิ่น ควรมีเบื้องต้น มียุทธวิธีที่ชัดเจน มีข้อบังคับที่ล้ำสมัย และโครงสร้างฐานราก ระบบอินเตอร์เน็ต รวมทั้งคน มองอย่างบางทีอาจสามารถ สมาร์ท ซิตี้ มีระบบเทคโนโลยีให้บริการประชาชน ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องประปา ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็เป็น การไม่กระจายอำนาจ เมื่อท้องถิ่นงบประมาณน้อยเกินไป จะต้องขอการสนับสนุนจากกองทุนดิจิทัล
“รัฐบาลของเราต้องมีวิธีคิดที่ดี ต้องใช้เศรษฐกิจดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน พร้อมกับสร้างอุตสาหกรรมแบบใหม่ๆ ซึ่งเป้าหมายระดับภูมิภาค เป้าหมายระดับโลก เราต้องแก้ปัญหาระดับท้องถิ่นก่อน” นายพิธา กล่าว
นอกจากนี้ นายพิธา กล่าวต่อว่า ปัญหาที่ประชากรสะท้อนเรื่องค่าบริการอินเตอร์เน็ตแพง กสทช. จะต้องดูแลเรื่องการควบรวม ถ้าหากประชาชนมีทางเลือกลดลง การแข่งขันก็ทำได้ยาก และ รัฐบาลก็มีส่วนช่วยในเรื่องเงินลงทุนให้ถูกลงได้ ผ่อนหนักเป็นเบา